กาพย์ยานี เป็นคำประพันธ์ไทยประเภทกาพย์ที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด มีทั้งแต่งสลับกับคำประพันธ์ประเภทอื่นและแต่งเพียงลำพัง กาพย์ยานีบทหนึ่งมีสองบาท บาทละ 11 คำ คนทั่วไปจึงี
หนึ่งบทมีสองบาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์
บังคับสัมผัสระหว่างวรรคที่ 1, 2 และ 3 ทิ้งสัมผัสวรรคที่ 4 สัมผัสระหว่างบทส่งจากท้ายบทแรกไปยังท้ายบาทแรกของบทต่อไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้
┌──↓─┐
○○○○● ○○●○○●
┌─────────┘
○○○○● ○○○○○●┐
┌──↓─┐ │
○○○○● ○○●○○●┘
┌─────────┘
○○○○● ○○○○○●┐
│
๏ อย่าด่วนครรไลแล่น | | กรกรีดแหวนบรางควร |
ทอดตาลิลาจวน | | สะดุดบาทจักพลาดพลำ |
๏ อย่าเดินทัดมาลา | | เสยเกศาบควรทำ |
จีบพกพลางขานคำ | | สะกิดเพื่อนสำรวลพลาง |
— กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ |
กวีอาจเพิ่มความไพเราะของกาพย์ยานีด้วยการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 ก็ได้ ดังตัวอย่าง
๏ ฟังแฮทชีพราหมณ์ | | เขาเขียวงามทั้งแท่งทงัน |
ไม่ไล่ช่อแชรงกัน | | ต่างต่างพรรณไขขจร |
๏ มีนามแต่อาทิ์ | | คนธมาทน์ศิขร |
ที่ใดท่านภูธร | | แพศยันครราชา |
— มหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน |
พัฒนาการของกาพย์ยานี[แก้]
๏ โดยทิศอุดรมี | | พระนครอันควรชม |
สมญาชื่อเสียงพรหม- | | บุรีบุราณกาล |
๏ อาจผจญบุรีอิน- | | ทรอันเทพยฤมาน |
มหามเหาฬาร | | จรรโลงธารษตรี |
๏ ปราการกำแพงรัตน- | | อันรอบบุรีศรี |
ทัดพายุพิถี | | คือกำแพง ณ จักรพาฬ |
๏ โขลนทวารพิศาลสรรพ | | ประดับโครณทุกทวาร |
หอห้างสรล้างกาญ- | | จนกุรุงซริน |
— สมุทรโฆษคำฉันท์ |
๏ บัดนั้นสมเด็จหลาน | | กฤษณเทพจักรี |
รำลึกพนาลี | | สุขรมยกรีฑา |
๏ เสด็จไปบังคมพระ | | อัยกาธิเบศร์ลา |
จักไปพนาทวา | | พนมพฤกษศีรขร |
๏ เถื่อนถ้ำพนาลี | | คชสีหองค์อร |
กวางทรายรมั่งมร | | สัตวสมสกอหลาย |
๏ มสระสโรชา | | กรบุษปเรียงราย |
ขจคนธอบอาย | | ภุมรีภรมัว |
— อนิรุทธ์คำฉันท์ |
๏ ปลากรายว่ายเคียงคู่ | | เคล้ากันอยู่ดูงามดี |
แต่นางห่างเหินพี่ | | เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร |
๏ หางไก่ว่ายแหวกว่าย | | หางไก่คล้ายไม่มีหงอน |
คิดอนงค์องค์เอวอร | | ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร |
๏ ปลาสร้อยลอยล่องชล | | ว่ายเวียนวนปนกันไป |
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย | | ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย |
๏ เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ | | เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย |
ใครต้องข้องจิตชาย | | ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง |
— กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร |
สุนทรภู่ ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่ประยุกต์กาพย์ยานีของกรุงศรีอยุธยา โดยให้ความสำคัญกับสัมผัสเป็นหลัก มีการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 รวมทั้งให้ความสำคัญกับน้ำหนักคำและน้ำเสียงด้วย
[2] ดังตัวอย่าง
๏ ขึ้นกกตกทุกข์ยาก | | แสนลำบากจากเวียงไชย |
มันเผือกเลือกเผาไฟ | | กินผลไม้ได้เป็นแรง |
๏ รอนรอนอ่อนอษฎงค์ | | พระสุริยงเย็นยอแสง |
ช่วงดังน้ำครั่งแดง | | แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร |
— กาพย์พระไชยสุริยา |
ขณะที่
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงกินกาพย์ยานี โดยละทิ้งสัมผัสไปมากแต่มาเล่นน้ำหนักของคำและทรงใช้สัมผัสอักษรแทนสัมผัสระหลายครั้ง และน่าจะเป็นตัวตั้งสำหรับกาพย์ยุคหลังๆ ครั้งที่นายผี (
อัศนี พลจันทร) สร้างสรรค์กาพย์ยานีรูปใหม่
[2] ดังตัวอย่าง
๏ ดาวเดือนก็เลื่อนลับ | | แสงทองระยับบพโยมหน |
จวบจวนพระสุริยน | | จะเยี่ยมยอดยุคันธร |
๏ สมเด็จพระหริวงศ์ | | ภุชพงศ์ทิพากร |
เสด็จลงสรงสาคร | | กับพระลักษณ์อนุชา |
— บทพากย์รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
ในยุคกึ่งพุทธกาล นายผี หรือ
อัศนี พลจันทร ได้สั่นสะเทือนวงการกาพย์ด้วยลีลาเฉพาะตัว โดยทิ้งสัมผัสในไปมาก หันมาใช้สัมผัสอักษรแทน เน้นคำโดดอันให้จังหวะสละสลวยจนคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์กลายๆ
[2] ดังตัวอย่าง
๏ ในฟ้าบ่อมีน้ำ | | ในดินซ้ำมีแต่ทราย |
น้ำตาที่ตกราย | | ก็รีบซาบบ่อรอซึม |
๏ แดดเปรี้ยงปานหัวแตก | | แผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม |
แผ่นอกที่ครางครึม | | ขยับแยกอยู่ตาปี |
— อีศาน |
ขณะที่กวีในยุคปัจจุบันต่างก็แสวงหาลีลาเฉพาะตัว อย่างเช่น
๏ การเกิดย่อมเจ็บปวด | | ต้องร้าวรวดและทรมา |
ในสายฝนมีสายฟ้า | | ในผาทึบมีถ้ำทอง |
๏ มาเถิดมาทุกข์ยาก | | มาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง |
อย่าหวังเลยรังรอง | | จะเรืองไรในชีพนี้ |
— หนทางแห่งหอยทาก ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
๏ ด้วยธรรมนั้นเทียมเท่า | | แต่ใครเล่าที่ครอบงำ |
เอาเปรียบและเหยียบย่ำ | | มวลชีวิตจนผิดไป |
๏ ในน้ำทุกหยดน้ำ | | หรือใช่น้ำเฉพาะใคร |
ลมแดดหรือดินใด | | ล้วนสมบัติอันเป็นกลาง |
— เพลงไทยของคนทุกข์ ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม |
๏ พฤกษ์ไพรไสวพริ้ว | | วะไหวหวิวกับวันวาร |
เสียงขับส่งศัพท์ขาน | | คือสัตว์ส่ำซึ่งร่ำเสียง |
๏ เริงเร้าเหนือเงาร่ม | | สำราญรมย์แลรายเรียง |
ร้องขานผสานเคียง | | ผสมคู่สมสู่คา |
https://th.wikipedia.org/wiki/กาพย์ยานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น