วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่ 2 การแต่งกลอน

บทที่ 2 การแต่งกลอน


กาพย์ยานี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Books-aj.svg aj ashton 01.png
ฉันทลักษณ์ไทย
กาพย์
กลอน
โคลง
ฉันท์
ร่าย
ร้อยกรองแบบใหม่
กลวิธีประพันธ์
กลบท
กลอักษร
กาพย์ยานี เป็นคำประพันธ์ไทยประเภทกาพย์ที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด มีทั้งแต่งสลับกับคำประพันธ์ประเภทอื่นและแต่งเพียงลำพัง กาพย์ยานีบทหนึ่งมีสองบาท บาทละ 11 คำ คนทั่วไปจึงี
หนึ่งบทมีสองบาท บาทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์
บังคับสัมผัสระหว่างวรรคที่ 1, 2 และ 3 ทิ้งสัมผัสวรรคที่ 4 สัมผัสระหว่างบทส่งจากท้ายบทแรกไปยังท้ายบาทแรกของบทต่อไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้
      ┌──↓─┐
  ○○○○●  ○○●○○●
    ┌─────────┘
○○○○● ○○○○○●┐
      ┌──↓─┐   │
  ○○○○●  ○○●○○●┘
    ┌─────────┘
○○○○● ○○○○○●┐
               │
๏ อย่าด่วนครรไลแล่นกรกรีดแหวนบรางควร
ทอดตาลิลาจวนสะดุดบาทจักพลาดพลำ
๏ อย่าเดินทัดมาลาเสยเกศาบควรทำ
จีบพกพลางขานคำสะกิดเพื่อนสำรวลพลาง
— กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
กวีอาจเพิ่มความไพเราะของกาพย์ยานีด้วยการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 ก็ได้ ดังตัวอย่าง
๏ ฟังแฮทชีพราหมณ์เขาเขียวงามทั้งแท่งทงัน
ไม่ไล่ช่อแชรงกันต่างต่างพรรณไขขจร
๏ มีนามแต่อาทิ์คนธมาทน์ศิขร
ที่ใดท่านภูธรแพศยันครราชา
— มหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน

พัฒนาการของกาพย์ยานี[แก้]

พย์ยานีในยุคแรก ๆ บังคับเฉพาะสัมผัสระหว่างบาท และสัมผัสระหว่างบทเท่านั้น สัมผัสระหว่างวรรคไม่บังคับ[1] ดังตัวอย่างจากอนิรุทธ์คำฉันท์ และสมุทรโฆษคำฉันท์
๏ โดยทิศอุดรมีพระนครอันควรชม
สมญาชื่อเสียงพรหม-บุรีบุราณกาล
๏ อาจผจญบุรีอิน-ทรอันเทพยฤมาน
มหามเหาฬารจรรโลงธารษตรี
๏ ปราการกำแพงรัตน-อันรอบบุรีศรี
ทัดพายุพิถีคือกำแพง ณ จักรพาฬ
๏ โขลนทวารพิศาลสรรพประดับโครณทุกทวาร
หอห้างสรล้างกาญ-จนกุรุงซริน
— สมุทรโฆษคำฉันท์
๏ บัดนั้นสมเด็จหลานกฤษณเทพจักรี
รำลึกพนาลีสุขรมยกรีฑา
๏ เสด็จไปบังคมพระอัยกาธิเบศร์ลา
จักไปพนาทวาพนมพฤกษศีรขร
๏ เถื่อนถ้ำพนาลีคชสีหองค์อร
กวางทรายรมั่งมรสัตวสมสกอหลาย
๏ มสระสโรชากรบุษปเรียงราย
ขจคนธอบอายภุมรีภรมัว
— อนิรุทธ์คำฉันท์
สมัยอยุธยายุคกลางและยุคปลายได้เพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคแรกกับวรรคที่ 2 แล้ว ต่อมา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร กวีผู้ชำนาญเชิงกาพย์ ทรงเพิ่มสัมผัสสระในคำที่ 2 - 3 วรรคแรก และคำที่ 3 - 4 ในวรรคหลัง อย่างเป็นระบบ ทำให้จังหวะอ่านรับกันเพิ่มความไพเราะมากขึ้น[1] และส่งอิทธิพลมาถึงกวีสมัยรัตนโกสินทร์ ตลอดถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[2] ดังตัวอย่าง
๏ ปลากรายว่ายเคียงคู่เคล้ากันอยู่ดูงามดี
แต่นางห่างเหินพี่เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร
๏ หางไก่ว่ายแหวกว่ายหางไก่คล้ายไม่มีหงอน
คิดอนงค์องค์เอวอรผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร
๏ ปลาสร้อยลอยล่องชลว่ายเวียนวนปนกันไป
เหมือนสร้อยทรงทรามวัยไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย
๏ เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อเนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย
ใครต้องข้องจิตชายไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
— กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร
สุนทรภู่ ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่ประยุกต์กาพย์ยานีของกรุงศรีอยุธยา โดยให้ความสำคัญกับสัมผัสเป็นหลัก มีการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 รวมทั้งให้ความสำคัญกับน้ำหนักคำและน้ำเสียงด้วย[2] ดังตัวอย่าง
๏ ขึ้นกกตกทุกข์ยากแสนลำบากจากเวียงไชย
มันเผือกเลือกเผาไฟกินผลไม้ได้เป็นแรง
๏ รอนรอนอ่อนอษฎงค์พระสุริยงเย็นยอแสง
ช่วงดังน้ำครั่งแดงแฝงเมฆเขาเงาเมรุธร
— กาพย์พระไชยสุริยา
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงกินกาพย์ยานี โดยละทิ้งสัมผัสไปมากแต่มาเล่นน้ำหนักของคำและทรงใช้สัมผัสอักษรแทนสัมผัสระหลายครั้ง และน่าจะเป็นตัวตั้งสำหรับกาพย์ยุคหลังๆ ครั้งที่นายผี (อัศนี พลจันทร) สร้างสรรค์กาพย์ยานีรูปใหม่[2] ดังตัวอย่าง
๏ ดาวเดือนก็เลื่อนลับแสงทองระยับบพโยมหน
จวบจวนพระสุริยนจะเยี่ยมยอดยุคันธร
๏ สมเด็จพระหริวงศ์ภุชพงศ์ทิพากร
เสด็จลงสรงสาครกับพระลักษณ์อนุชา
— บทพากย์รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ในยุคกึ่งพุทธกาล นายผี หรือ อัศนี พลจันทร ได้สั่นสะเทือนวงการกาพย์ด้วยลีลาเฉพาะตัว โดยทิ้งสัมผัสในไปมาก หันมาใช้สัมผัสอักษรแทน เน้นคำโดดอันให้จังหวะสละสลวยจนคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์กลายๆ[2] ดังตัวอย่าง
๏ ในฟ้าบ่อมีน้ำในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกรายก็รีบซาบบ่อรอซึม
๏ แดดเปรี้ยงปานหัวแตกแผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม
แผ่นอกที่ครางครึมขยับแยกอยู่ตาปี
— อีศาน
ขณะที่กวีในยุคปัจจุบันต่างก็แสวงหาลีลาเฉพาะตัว อย่างเช่น
๏ การเกิดย่อมเจ็บปวดต้องร้าวรวดและทรมา
ในสายฝนมีสายฟ้าในผาทึบมีถ้ำทอง
๏ มาเถิดมาทุกข์ยากมาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง
อย่าหวังเลยรังรองจะเรืองไรในชีพนี้
— หนทางแห่งหอยทาก ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
๏ ด้วยธรรมนั้นเทียมเท่าแต่ใครเล่าที่ครอบงำ
เอาเปรียบและเหยียบย่ำมวลชีวิตจนผิดไป
๏ ในน้ำทุกหยดน้ำหรือใช่น้ำเฉพาะใคร
ลมแดดหรือดินใดล้วนสมบัติอันเป็นกลาง
— เพลงไทยของคนทุกข์ ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม
๏ พฤกษ์ไพรไสวพริ้ววะไหวหวิวกับวันวาร
เสียงขับส่งศัพท์ขานคือสัตว์ส่ำซึ่งร่ำเสียง
๏ เริงเร้าเหนือเงาร่มสำราญรมย์แลรายเรียง
ร้องขานผสานเคียงผสมคู่สมสู่คา   
https://th.wikipedia.org/wiki/กาพย์ยานี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น